aaa
 
หน้าแรก | ผลิตภัณฑ์ กิจกรรมงานบุญ | ติดต่อกับผู้ผลิต | 
ค้นหาผลิตภัณฑ์  
 
 
 
 
 
 
เครื่องดื่มชนิดผงพร้อมชง
และเครื่องดื่มชนิดน้ำพร้อมดื่ม
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ทั้งชนิดน้ำพร้อมดื่ม และชนิดแคปซูล บรรจุแผง / ขวด
 
 
 
 
 
ข้าวกล้องเพาะงอกเบญจกระยาทิพย์
ที่มาของกาแฟ
กระดูกอ่อนฉลามและคอลลาเจน
ที่มาของรังนก
INS 401 คืออะไร
คารายากัม คืออะไร
งานวิจัยซุปไก่สกัด
กลูตาไธโอนคืออะไร
ความเป็นมาของกำลังช้างสาร
สรรพคุณของโชวู
Coenzyme Q10 คืออะไร
โสมกับสุขภาพ
ประโยชน์ของตังถั่งเช่า
สรรพคุณของจับเลี้ยง
ความเป็นมาของทุเรียน
ความเป็นมาของเห็ดหลินจือ
ความเป็นมาของเห็ดไมตาเกะ
ความเป็นมาของตังกุย
ประโยชน์ของเห็ดจีซง
ถาม - ตอบ เรื่องเอนไซม์
ประวัติของโรคเบาหวาน
ความเป็นมาของน้ำมันมะพร้าว
ประโยชน์ของเขากวางอ่อน
ประโยชน์ของผลส้มแขก
ประโยชน์ของจันทน์เทศ
ประโยชน์ของชาใบหม่อน
คุณค่าของมะรุม
ความเป็นมาของผลหม่อน
ประโยชน์ของเมล็ดองุ่นแดง
สรรพคุณของดอกคำฝอย
สรรพคุณของไข่มุก
สรรพคุณของโกฐหัวบัว
สรรพคุณของโกฐเขมา
สรรพคุณของอึ้งคี้หรือปักคี้
สรรพคุณของกำลังวัวเถลิง
สรรพคุณของกำลังหนุมาน
สรรพคุณของกระชายดำ
สรรพคุณของแปะก๊วย
ประโยชน์ของม้าน้ำ
ความเป็นมาของผักชีลาว
สรรพคุณของดอกอัญชัน
สรรพคุณของดอกทองพันชั่ง
สรรพคุณของว่านหางจระเข้
สรรพคุณของใบบัวบก
สรรพคุณของนมผึ้ง
สรรพคุณของต้นไหลเผือก
สรรพคุณของพลูคาว
ความเป็นมาขององุ่น
สรรพคุณของมังคุด
สรรพคุณของหัวไชเท้า
คุณสมบัติของต้น Wicth Hazal
 
 
 
 
 
 
เครื่องดื่มชนิดผงพร้อมชง
และเครื่องดื่มชนิดน้ำพร้อมดื่ม
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งชนิดน้ำ
พร้อมดื่ม และชนิดแคปซูล
บรรจุแผง / ขวด
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ไทยรัฐ
ข่าวสด
เดลินิวส
มติชน
สยามธุรกิจ
บ้านเมือง
แนวหน้า
กรุงเทพธุรกิจ
โพสต์ทูเดย
 
 
 
 
 
 
นฬปานชาดก
ตโยธัมมชาดก
วัณณุปถชาดก
ติตติรชาดก
วานรินทชาดก
มหิฬามุขชาดก
มหาอุกกุสชาดก
ติปัลลัตถมิคชาดก
มหาวาณิชชาดก
พระจูฬปันถกเถระ
พกชาดก
มุณิกชาดก
 
 
 

 
 
สรรพคุณของว่านหางจระเข้
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น ใบ เป็นใบเดี่ยว
ออกเรียงเวียนรอบต้น ใบหนาและยาว โคนใบใหญ่ ส่วนปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหนามแหลมห่างกัน
แผ่นใบหนาสีเขียว มีจุดยาวสีเขียวอ่อน อวบน้ำ ข้างในเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน ดอก ออกเป็นช่อกระ
จะที่ปลายยอด ก้านช่อดอกยาว ดอกสีแดงอมเหลือง โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด
ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น รูปแตร ผล เป็นผบแห้งรูปกระสวย
 
วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้เป็นยาภายใน
1. เป็นยาถ่าย : ใช้น้ำยางสีเหลืองที่มีรสขม คลื่นไส้ อาเจียน น้ำยางสีเหลืองที่ไหลออกมาระหว่างผิวนอกของ
ใบกับตัววุ้น จะให้ยาที่เรียกว่า ยาดำ
วิธีการทำยาดำ
ตัดใบว่านหางจระเข้ที่โคนใบให้เป็นรูปสามเหลี่ยม (ต้องเป็นพันธุ์เฉพาะ ซึ่งจะมีขนาดใบใหญ่
และอวบน้ำมาก จะให้น้ำยางสีเหลืองมาก) ต้นที่เหมาะจะตัด ควรมีอายุ 9 เดือนขึ้นไป
จะให้น้ำยางมากไปจนถึงปีที่ 3 และจะให้ไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่ 10 ตัดใบว่านหางจระเข้ตรงโคนใบ
และปล่อยให้น้ำยางไหลลงในภาชนะ นำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ ทิ้งไว้จะแข็งเป็นก้อน ยาดำ
มีลักษณะสีแดงน้ำตาล จนถึงดำ เป็นของแข็ง เปราะ ผิวมัน กลิ่นและรสขม คลื่นไส้ อาเจียน
สารเคมี : สารสำคัญในยาดำเป็น G-glycoside ที่มีชื่อว่า barbaloin
(Aloe-emodin anthrone C-10 glycoside) ขนาดที่ใช้เป็นยาถ่าย - 0.25 กรัม เท่ากับ 250 มิลลิกรัม
ประมาณ 1-2 เม็ดถั่วเขียว บางคนรับประทานแล้วไซ้ท้อง
2. แก้กระเพาะและลำไส้อักเสบ : โดยเอาใบมาปอกเปลือกออก เหลือแต่วุ้น แล้วใช้รับประทาน
วันละ 2 เวลา ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
3. แก้อาการปวดตามข้อ : โดยการดื่มว่านหางจระเข้ทั้งน้ำ วุ้น หรืออาจจะใช้วิธีปอกส่วนนอกของใบออก
เหลือแต่วุ้น นำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นๆ จะช่วยให้รับประทานได้ง่าย รับประทานวันละ 2-3 ครั้งๆ ละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
เท่ากับ 2 ช้อนแกง บางคนบอกว่า เมื่อรับประทานว่านหางจระเข้ อาการปวดตามข้อจะทุเลาทันที
แต่หลายๆ คนบอกว่า อาการจะดีขึ้นหลังจากรับประทานติดต่อกันสองเดือนขึ้นไป
สำหรับใช้รักษาอาการนี้ ยังไม่ได้ทำการวิจัย
 
วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้เป็นยาภายนอก
เครื่องสำอางค์ :
- วุ้นจากใบสดชโลมบนเส้นผม ทำให้ผมดก เป็นเงางาม และเส้นผมสลวย
   เพราะวุ้นของว่านหางจระเข้ทำให้รากผมเย็น เป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี
   ผมจึงดกดำเป็นเงางาม นอกจากนั้นแล้ว ยังช่วยรักษาแผลบนหนังศีรษะด้วย
- สตรีชาวฟิลิปปินส์ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้รวมกับเนื้อในของเมล็ดสะบ้า
  (เนื้อในของเมล็ดสะบ้ามีสีขาว ส่วนผิวนอกของเมล็ดสะบ้ามีสีน้ำตาลแดง รูปร่างกลมแบนๆ
  ใช้เป็นที่ตั้งในการเล่นสะบ้า)
ต่อเนื้อในเมล็ดสะบ้าประมาณ ? ของผลให้ละเอียด
  แล้วคลุกรวมกับวุ้น นำไปชโลมผมไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก ใช้กับผมร่วง รักษาศีรษะล้าน
- รักษาผิวเป็นจุดด่างดำ ผิวด่างดำนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอายุมาก หรือถูกแสงแดด
  หรือเป็นความไวของผิวหนังแต่ละบุคคล ใช้วุ้นทาวันละ 2 ครั้ง หลังจากได้ทำความสะอาดผิว
  ด้วยน้ำสะอาด ต้องมีความอดทนมาก เพราะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จึงจะหายจากจุดด่างดำ
  แต่ถึงอย่างไรก็ดี ควรใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทา จะทำให้ผิวหนังมีน้ำ มีนวลขึ้น
- รักษาสิว ยับยั้งการติดเชื้อ ช่วยเรียกเนื้อ ช่วยลดความมันบนใบหน้า
  เพราะในใบว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ
- โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังลองใช้กับคนไข้ที่เป็นแผล เกิดขึ้นจากนั่ง หรือนอนทับนานๆ ( Bed sore )
  ปัจจุบัน มีเครื่องสำอางที่เตรียมขายในท้องตลาดหลายารูปแบบ เช่น ครีม โลชัน แชมพู และสบู่
  สำหรับสาระสำคัญที่สามารถรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอื่นๆ นั้น
  ได้ค้นพบว่าเป็นสาร glycoprotein มีชื่อว่า Aloctin A เป็น Anti-inflammatory
  พบในทุกๆ ส่วนของว่านหางจระเข้
 
สารเคมี : ใบมี Aloe-emodin, Alolin, Chrysophanic acid Barbaboin, AloctinA, Aloctin B, Brady
Kininase Alosin, Anthramol Histidine, Amino acid , Alanine Glutamic acid Cystine,
Glutamine, Glycine.
 
สรรพคุณในเครื่องสำอาง :
1.ใช้วุ้นของว่านหางจระเข้ ผสมในแชมพู ครีมนวดผม
2.ผสมครีมบำรุงผิว ลบจุดด่างดำ ลดฝ้าบนผิวหนัง
3.ใส่ผม ทำให้ผมหงอกช้า เป็นเงางาม
4.ใช้ส่วนที่เป็นวุ้นพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ช.ม
แล้วล้างออก ช่วยดูดสิวเสี้ยนและฆ่าเชื้อบนผิวหน้า
 
ที่มาของข้อมูล : http://www.plantgenetic-rspg.org/
 

 
โรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ (Gastroenteritis)
 
Gastroenteritis คือ อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต อาการที่พบได้ทั่วไป คือ ท้องเสียและอาเจียน
ซึ่งเชื้ออาจแพร่กระจายผ่านอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน โดยทั่วไปผู้ป่วยอาจรักษาบรรเทาอาการจนดีขึ้นได้เองภายใน 1 สัปดาห์
แต่หากอาการไม่ทุเลาลงหรือทวีความรุนแรงขึ้น อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป
 
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโรค
เมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบโดยทั่วไปก็จะหายไปเองโดยไม่ต้องรับการรักษาทางการแพทย์
แต่ถ้าหากเกิดกับทารกหรือเด็กเล็กก็จะเป็นอันตรายมากขึ้นเพราะล่อแหลมต่อภาวะขาดน้ำ กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบเป็นการติดเชื้อของลำไส้
ซึ่งมาจากการดื่มหรือรับประทานอาหารที่ ปนเปื้อนด้วย เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ ปรสิต หรือจาก คน ที่มีการติดเชื้อ
 
อาการของโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ
อาการหลักของ Gastroenteritis คือ ท้องเสีย เพราะเมื่อกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กติดเชื้อจนไม่สามารถกักเก็บของเหลวไว้ได้
ร่างกายจะขับถ่ายอุจจาระออกมาในลักษณะถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ โดยอาการท้องเสียและอาการอื่น ๆ มักปรากฏขึ้นภายใน 1 วัน
หลังจากติดเชื้อ และอาจหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ แต่อาการอาจยังคงอยู่นานกว่านั้นในบางกรณี ได้แก่
- คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาเจียนพุ่งอย่างรุนแรง
- ไม่อยากอาหาร
- ปวดเกร็งท้อง และมีเสียงโกรกกราก
- รู้สึกป่วย เป็นไข้อ่อน ๆ
- เหนื่อยล้า อ่อนแรง
- ปวดหัว หรือปวดกล้ามเนื้อร่วมกับอาการอื่น ๆ
 
ภาวะแทรกซ้อนของโรค
มักเกิดกับเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 65 ปี ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือ ภาวะขาดน้ำ ขาดสารอาหาร
และ อาการลำไส้แปรปรวน
 
สาเหตุของการเกิดโรค
- กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ได้แก่ การติดเชื้อ ด้วย ไวรัส แบคทีเรีย หรือ ปรสิต
- บริโภคอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะอาหารทะเล ปลาดิบ หรือปลาที่ปรุงไม่สุกดี
- สัมผัสวัตถุหรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ใช้เครื่องครัวหรือของใช้ภายในบ้านที่สกปรก
- ไม่ล้างมือหลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก
- ใกล้ชิดหรือได้รับเชื้อจากผู้ป่วย Gastroenteritis เพราะลมหายใจของผู้ป่วยอาจปนเปื้อนเชื้อจากอาเจียนออกมาด้วย
   ซึ่งเชื้อสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้
 
การป้องกันโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ
เนื่องจากโรค Gastroenteritis อาจแพร่กระจายได้ง่าย การป้องกันตนเองและคนใกล้ชิดจากการป่วยติดเชื้อจึงอาจทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ทุกครั้งหลังไอ จาม เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และก่อนรับประทานอาหาร
- หากมีผู้ป่วย Gastroenteritis ในบ้าน ควรทำความสะอาดพื้นผิวต่าง ๆ ในบ้านเสมอ อาจใช้น้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
  โดยเฉพาะในห้องน้ำและบริเวณโดยรอบจากการท้องเสียและอาเจียน
- ซักผ้าบ่อยครั้ง โดยแยกเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวของผู้ป่วยออกจากผ้าอื่น ๆ
- ล้างอาหารและผักให้สะอาด ปรุงเนื้อสัตว์และไข่ให้สุกดีก่อนรับประทานทุกครั้ง และหากรับประทานอาหารเหลือ   
   ควรเก็บอาหารใส่ช่องแช่แข็งทันที
- ห้ามรับประทานปลาหรือเนื้อสัตว์ดิบ และห้ามรับประทานอาหารในภาชนะที่ใช้ใส่เนื้อสัตว์ดิบ
- หากเดินทางไปสถานที่ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ห้ามดื่มน้ำจากแม่น้ำหรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านการต้มมาก่อน
   และควรดื่มน้ำบรรจุขวดที่ไม่ใส่น้ำแข็งทุกครั้ง
- ห้ามใช้ผ้าเช็ดตัว ช้อนส้อม และเครื่องใช้ในครัวอื่น ๆ ร่วมกับผู้ป่วย
- สำหรับผู้ป่วย Gastroenteritis ควรหยุดงาน งดไปโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กหลังจากติดเชื้อ 2 วัน
  และควรหลีกเลี่ยงการไปเยี่ยมผู้ป่วยอื่น ๆ ที่โรงพยาบาลก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น

 
คัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.pobpad.com/gastroenteritis-โรคกระเพาะอาหารและลำ
คัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก : http://www.krabinakharin.co.th/กระเพาะอาหารและลำไส้อ้/
 

 
ปวดตามข้อบอกโรคอะไรบ้าง
 
ปวดตามข้อ คือหนึ่งในลักษณะอาการที่บ่งบอกได้หลายโรคด้วยกัน ได้แก่ โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ ข้อเสื่อม และโรค เอส แอล อี
ซึ่งแต่ละโรคก็มีลักษณะอาการปวดตามข้อที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันออกไป เช่น
 
(1) โรคเกาต์ อาการปวดที่เกิดขึ้น มักเกิดบวมแดงร้อนข้อแบบเฉียบพลัน แม้ว่าจะอยู่เฉย ๆ ไม่มีประวัติอุบัติเหตุ
      ไม่ได้รับการกระทบกระแทกรุนแรงใด ๆ มีอาการปวดข้อเดียวไม่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันหลายข้อ
       ข้อที่พบว่าเป็นโรคเกาต์ได้บ่อยที่สุด ได้แก่ ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า
(2) ข้อเสื่อม โรคข้อเสื่อม ระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวดสัมพันธ์กับการใช้งาน ระยะปานกลาง เมื่อกระดูกอ่อนเริ่มสึกกร่อน
      ข้ออาจมีการอักเสบร่วมกับข้อเริ่มโค้งงอ เหยียดงอไม่สุด ระยะรุนแรง เมื่อกระดูกอ่อนสึกกร่อนมากขึ้น ข้อเริ่มหลวมไม่มั่นคง
      ข้อหนาตัวขึ้น จากกระดูกงอกหนา ข้อโก่งงอ ผิดรูปชัดเจน เวลาเดินต้องกางขากว้างขึ้น กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง
      ขณะลุกขึ้นจากท่านั่งจะมีอาการปวดที่รุนแรง
(3) เอส แอล อี โรค เอส แอล อี เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย    
      บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ
      มักมีอาการทางข้อและกล้ามเนื้อเป็นอาการนำ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ
      มักเป็นข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วยคล้ายผู้ป่วยรูมาตอยด์
      แต่บางรายอาจรุนแรงถึงชีวิต
(4) รูมาตอยด์ โรครูมาตอยด์ อาการปวดข้อมักเกิดมากที่สุดช่วงตื่นนอน อาจมีอาการอยู่ 1 - 2 ชั่วโมง
      หรือทั้งวันก็ได้ มีอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อลำบาก
      ตำแหน่งของข้อที่มีอาการปวดมากที่สุดมักจะเป็นที่ข้อมือ และข้อนิ้วมือ แต่มีโอกาสปวดข้อไหนก็ได้
      ลักษณะอาการปวดข้อช่วงเช้านี้ เป็นลักษณะสำคัญของโรครูมาตอยด์ นอกจากอาการทางข้อแล้ว     
      ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำๆ ตาแห้ง
      ปากแห้งผิดปกติ พบก้อนใต้ผิวหนังบริเวณข้อศอกและข้อนิ้วมือ
 
สาเหตุ
โรครูมาตอยด์เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานอย่างหนึ่ง โดยภูมิต้านทานของผู้ป่วยมีการทำลาย
และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ และกระดูกรอบข้อ บางรายรุนแรงจนพิการจากกระดูกถูกทำลาย ผิดรูป จากความก้าวหน้าทางการแพทย์ในระยะหลัง ทำให้เกิดความเข้าใจถึงตัวแปรต่าง ๆ
ในกระบวนการอักเสบมากขึ้นจนมีการค้นพบตัวยาใหม่ ๆ ที่จะยับยั้งขบวนการอักเสบ และลดการทำลายของข้อ ซึ่งหากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้เร็ว จะสามารถยับยั้งการทำลายของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบข้อได้ โรครูมาตอยด์จะพบได้ประมาณร้อยละ 0.5 - 1.0 ของประชากรในประเทศไทย
 
การรักษา
การรักษาโรคมีอยู่ 4 วิธีด้วยกัน คือ
- การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี
  ยาเหล่านี้ได้แก่ยารักษารูมาตอยด์โดยเฉพาะ ยาที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคสารชีวภาพ
  และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์
- การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย
- การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมาก
- การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว

 
คัดลอกข้อมูลจาก : https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/top-4-arthritis-do-not-overlook
คัดลอกข้อมูลจาก : นพ.สุรราชย์ ธำรงลักษณ์ แพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ
 

 
โรครูมาตอยด์
 
ความหมาย รูมาตอยด์
รูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคที่มีการอักเสบของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย
ไม่ใช่เพียงที่ข้อ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติและไปทำลายอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายตัวเอง
ในผู้ป่วยบางรายพบว่ามีภาวะที่มีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง ดวงตา ปอด หัวใจ และหลอดเลือด
 
 
อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จะมีอาการปวดดำเนินอย่างช้า ๆ อาจนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
มีอาการเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า รวมไปถึงอาจพบว่ามีน้ำหนักตัวลดลงและมีไข้อ่อน ๆ
 
อาการอื่น ๆ ของโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่
- มีอาการปวด บวม แดง อุ่น ข้อฝืด โดยจะเกิดขึ้นพร้อมกันในร่างกาย
   เช่น มือ ข้อมือ ข้อศอก เท้า ข้อเท้า เข่า และคอ
- อาการข้อฝืดแข็ง อาจเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว
   เช่น ตอนตื่นนอนในตอนเช้า หรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ
- ปุ่มรูมาตอยด์ (Rheumatoid Nodules) ปุ่มเนื้อนิ่ม ๆ ที่มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อย ๆ
   เช่น ข้อศอก ข้อนิ้วมือ กระดูกสันหลัง
 
ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ประมาณ 40% จะพบว่ามีอาการที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อต่อ
และอาจส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น ผิวหนัง ดวงตา ปอด หัวใจ ไต ต่อมน้ำลาย เส้นประสาท
ไขกระดูก หลอดเลือด อาการและสัญญาณของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อาจแตกต่างกันไป
ตามความรุนแรง และอาการอาจกำเริบและสงบลงเป็นพัก ๆ ได้
 
 
สาเหตุของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จะเกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายตัวเอง
โดยจะทำลายเยื่อหุ้มข้อ (Synovium) เป็นผลทำให้เกิดการอักเสบและบวมขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้ว
อาจทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกของข้อต่อ รวมไปถึงเส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อและกระดูก
หรือเอ็นข้อต่อจะเปราะบางลงและยืดขยายออก จากนั้นข้อต่อก็จะค่อย ๆ ผิดรูปหรือบิดเบี้ยว
 
ัจจุบันยังไม่ทราบถึงต้นตอของการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่แน่ชัด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้
จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ในขณะที่ยีนอาจไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง
แต่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีความไวต่อปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมได้
เช่น การติดเชื้อที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นการเกิดโรค
 
ภาวะแทรกซ้อนของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
การป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาไปเป็นโรคต่าง ๆ ได้ ดังต่อไปนี้
 
- โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ภาวะที่กระดูกมีความเสื่อมและเปราะบางลงทำให้แตกร้าวได้ง่าย
  ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดจากยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ปุ่มรูมาตอยด์ (Rheumatoid Nodules) ตุ่มบวมมักเกิดขึ้นบนร่างกายในบริเวณที่มีการเสียดสี
  เช่น ข้อศอก อย่างไรก็ตาม ตุ่มบวมนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในร่างกายรวมไปถึงปอด
- ตาแห้งและปากแห้ง ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักจะพบว่าเกิดโรคปากแห้งตาแห้ง
  หรืออาจเป็นโรคโจเกรน (Sjogren's Syndrome) ได้
- การติดเชื้อ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และยาที่ใช้รักษา สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
   และนำไปสู่การติดเชื้อได้ในที่สุด
- โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)
   หากเป็นโรครูมาตอยด์ที่เกิดขึ้นที่ข้อมือ การอักเสบสามารถทำให้เกิดการกดทับ
   เส้นประสาทที่มีผลต่อการทำงานของมือและนิ้วมือ
- ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดอุดตันหรือหลอดเลือดแข็ง
  รวมถึงเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งเกิดจากภาวะอักเสบในร่างกาย
- โรคปอด ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปอดและเกิดพังผืดที่เนื้อเยื่อปอด
   ซึ่งสามารถทำให้เกิดการหายใจลำบากหรือหายใจสั้น
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
 
การป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรครูมาตอยด์เป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่เมื่อเป็นแล้วสามารถบำบัดรักษาให้ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติมากที่สุด
ซึ่งเมื่อเป็นโรคนี้แล้ว ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้โดยการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน
ด้วยการมีความรับผิดชอบต่อสุขภาพร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น มีความกระฉับกระเฉง
ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง รวมไปถึงการเลี่ยงพฤติกรรมที่ต้องใช้ข้อมาก ๆ
นอกจากนั้น ต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบตามเวลาและสม่ำเสมอ
เพราะแม้ว่าจะมีอาการที่ดีขึ้นแล้วก็ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง
เพื่อป้องกันปัญหาและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ข้อเสื่อมหรือข้อถูกทำลาย
 
ภาพประกอบจาก : https://health.kapook.com/view122574.html
                                และ https://www.pobpad.com/รูมาตอยด์
คัดลอกข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com/รูมาตอยด์
 

 
 
aaa